เส้นแบ่งเขตที่ไร้ข้อยุติ กัมพูชาปฏิเสธเจรจา นำ 4 จุดพิพาทสู่ศาลโลก

เปิดข้อมูล “4 จุดพิพาท” ไทย-กัมพูชา ช่องบกและ 3 ปราสาทโบราณที่กัมพูชายืนยันไม่ขอเจรจา เลือกเดินหน้าเข้าสู่ศาลโลก หวังหาข้อยุติระยะยาว
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชากำลังเผชิญกับจุดวิกฤติใหม่ เมื่อรัฐบาลพนมเปญออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการยืนยันจะไม่นำข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดน 4 จุดสำคัญเข้าสู่การเจรจาในกรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ที่กำหนดจัดขึ้นในกรุงพนมเปญวันที่ 14 มิถุนายนนี้ แต่เลือกใช้ช่องทางศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นตัวชี้ขาดแทน
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กลไก JBC ซึ่งเป็นช่องทางการเจรจาแบบดั้งเดิมระหว่างสองประเทศไม่สามารถคลี่คลายปัญหาที่เรื้อรังมานานหลายทศวรรษได้ พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนtrีกัมพูชา แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะไม่เจรจาแบบทวิภาคีกับไทยในประเด็นนี้อีกต่อไป พร้อมเรียกร้องให้ไทยร่วมมือในการยื่นเรื่องต่อศาลโลก หากไม่ได้รับความร่วมมือ กัมพูชาก็พร้อมดำเนินการฝ่ายเดียว
สามเหลี่ยมมรกต จุดระเบิดแรกของความขัดแย้ง
ช่องบก หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อสามเหลี่ยมมรกตเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดล่าสุด พื้นที่รอยต่อสามประเทศระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร บริเวณตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
เหตุการณ์ปะทะครั้งล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นจุดจุดประกายให้เห็นความเปราะบางของพื้นที่นี้ เมื่อทหารกัมพูชาเข้าไปขุดคูแนวชายแดน ฝ่ายไทยถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ MOU 2543 ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามไว้
แม้เหตุการณ์จะสงบลงอย่างรวดเร็วด้วยการเจรจาระดับท้องถิ่น แต่จุดนี้ยังคงเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันในอนาคต เนื่องจากยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย
กลุ่มปราสาทโบราณ มรดกทางประวัติศาสตร์ท่ามกลางข้อพิพาท
นอกจากช่องบกแล้ว อีก 3 จุดที่กัมพูชาจะนำเข้าสู่ศาลโลกล้วนเป็นบริเวณโดยรอบปราสาทโบราณในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย หรือที่กัมพูชาเรียกว่าปราสาทตากรเบย
ปราสาทตาเมือนธมซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก เป็นโบราณสถานสำคัญที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์ในการครอบครอง ความคลุมเครือในการปักปันเขตแดนรอบพื้นที่นี้ทำให้เกิดเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ปราสาทตาเมือนโต๊ดซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับปราสาทตาเมือนธม ก็มีลักษณะข้อพิพาทคล้ายคลึงกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโบราณสถานตามแนวชายแดนที่ยังไม่มีการตกลงเรื่องอาณาเขตอย่างสิ้นเชิง
สำหรับปราสาทตาควายนั้น แม้จะไม่เป็นที่รู้จักมากเท่ากับปราสาทอื่น ๆ แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์และเป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่ยืดเยื้อมานาน
ยุทธศาสตร์ใหม่ของกัมพูชา หันหลังให้การเจรจาทวิภาคี
การตัดสินใจของรัภบาลกัมพูชาในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์อย่างสำคัญ จากการพึ่พิงกลไกการเจรจาแบบดั้งเดิมมาสู่การใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่มีผลผูกพันทางกฎหมายมากกว่า
พลเอกฮุน มาเนตได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศมากกว่าการเจรจาแบบทวิภาคี โดยเรียกร้องให้ไทยร่วมมือในการยื่นคำร้องต่อศาลโลก หากไม่ได้รับความร่วมมือ กัมพูชาจะดำเนินการฝ่ายเดียว
ท่าทีดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีความมั่นใจในฐานะทางกฎหมายของตนเอง และต้องการให้มีการตัดสินที่เป็นกลางจากองค์กรระหว่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความมั่นคงในภูมิภาค
การเลือกใช้ช่องทางศาลโลกแทนการเจรจาทวิภาคีอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาในหลายมิติ ทั้งในด้านการทูต เศรษฐกิจ และความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน
ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนอาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนนี้ โดยเฉพาะในด้านการค้าชายแดนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่พึ่พิงการเดินทางข้ามแดนและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ ความตึงเครียดดังกล่าวยังอาจส่งผลต่อความร่วมมือในกรอบอาเซียนและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
ท่าทีของไทยและทางเลือกที่เหลืออยู่
ฝ่ายไทยยังคงยืนยันหลักการเจรจาอย่างสันติและชี้แจงว่าจะหารือเฉพาะประเด็นที่เกิดเหตุการณ์จริงเท่านั้น ไม่ใช่ทั้ง 4 จุดที่กัมพูชาต้องการนำเข้าสู่ศาลโลก
การตอบสนองของไทยต่อการเรียกร้องของกัมพูชาจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของข้อพิพาทในอนาคต หากไทยเลือกไม่ร่วมมือ กัมพูชาอาจดำเนินการฝ่ายเดียว ซึ่งอาจนำไปสู่ความซับซ้อนทางกฎหมายและการทูตมากขึ้น
4 จุดร้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย กำลังจะก้าวเข้าสู่เวทีใหม่ของการแก้ไขข้อพิพาท การตัดสินใจของกัมพูชาที่จะไม่เจรจาในกรอบ JBC และเลือกใช้ช่องทางศาลโลกแทน แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในการจัดการข้อพิพาทชายแดน
ความท้าทายที่เหลืออยู่คือการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ การตัดสินใจของไทยในการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของกัมพูชาจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของข้อพิพาทนี้ในอนาคต
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
