กรมสุขภาพจิต ชี้ความสูญเสียกระทบสภาพจิตใจ อาจนำสู่ความโกรธ-ก้าวร้าว

สาเหตุความก้าวร้าวของผู้ประสบภัยน้ำท่วม
กรมสุขภาพจิต ชี้ปฏิกิริยาทางใจเมื่อเกิดความสูญเสีย อาจเป็นสาเหตุของความโกรธ ก้าวร้าว ของผู้ประสบภัย วอนคนไทยไม่ตีตราเหมารวมพี่น้องชาวใต้ พร้อมช่วยส่งกำลังใจบุคลากรด่านหน้าและอาสาสมัครกู้ภัยที่กำลังปกป้องช่วยเหลือพี่น้องประชาชน จากกรณีที่มีรายงานข่าวสถานการณ์วิกฤตในพื้นที่น้ำท่วม
โดยพบผู้ประสบภัยบางส่วนที่ติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ขับไล่ หรือใช้อาวุธข่มขู่เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ จนส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและบั่นทอนกำลังใจของทีมผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมที่อาจนำไปสู่การตีตราผู้ประสบภัยและพี่น้องชาวใต้นั้น
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เมื่อผู้ประสบภัยขาดปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพและถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเกิน 72 ชั่วโมง ร่างกายและจิตใจจะเข้าสู่ภาวะปกป้องตัวเอง (Survival Mode) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด และพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากภาวะปกติอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความเครียดสะสมและการอดนอน จะส่งผลให้สมองส่วนการตัดสินใจทำงานลดลง ในขณะที่สมองส่วนสัญชาตญาณจะทำงานหนักขึ้น
จึงมีแนวโน้มตีความสิ่งเร้าที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นภัยคุกคาม เช่น มองเจ้าหน้าที่เป็นผู้ไม่หวังดี หรือกังวลว่าเรือช่วยเหลือจะกระแทกบ้านจนเสียหายเพิ่มขึ้น ความเครียดจากการสูญเสีย การขาดอาหาร น้ำ ยาประจำตัว และความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อการทำงานของทีมกู้ภัย ล้วนส่งผลให้เกิดพฤติกรรมป้องกันตัวหรือความก้าวร้าวได้
ทั้งนี้ มนุษย์มีปฏิกิริยาทางใจต่อความสูญเสีย 5 ระยะ ได้แก่
1. ระยะปฏิเสธเกิดความช็อกและไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
2. ระยะโกรธรู้สึกไม่ยุติธรรมต่อเหตุการณ์
3. ระยะต่อรองจะมีการตำหนิตัวเองหรือคิดเสียใจย้อนหลัง
4. ระยะซึมเศร้าที่เริ่มเผชิญความจริงและรู้สึกเศร้า ท้อแท้
5. ระยะยอมรับในการค่อย ๆ ปรับตัวกับสภาพชีวิตใหม่
โดยเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ในขณะนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ผ่านระยะแรกแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ระยะโกรธ หรือการต่อรอง ซึ่งเป็นอารมณ์ตามธรรมชาติของผู้เผชิญความสูญเสีย ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยอาจมีการแสดงออกที่เข้มข้นตามสภาพความเครียดและความสูญเสียที่เผชิญ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติในสถานการณ์วิกฤต ขณะที่เจ้าหน้าที่ควรสื่อสารด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อธิบายขั้นตอนอย่างชัดเจน และสร้างความรู้สึกปลอดภัย เพื่อบรรเทาความตึงเครียดและช่วยให้ประชาชนสามารถฟื้นตัวและกลับสู่ภาวะปกติได้ในที่สุด
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ กรมสุขภาพจิตตระหนักถึงความทุ่มเทของบุคลากรด่านหน้า และอาสาสมัครกู้ภัยที่ต้องทำงานท่ามกลางความกดดัน จึงขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันดูแลทั้งกายและจิตใจของบุคลากรเหล่านี้ให้มีความพร้อมและปลอดภัยที่สุด เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชนต่อไปได้
นายแพทย์จุมภฏ พรมสีดา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเสริมว่า การดูแลจิตใจของอาสาสมัครและทีมกู้ภัยมีความสำคัญควบคู่ไปกับการดูแลผู้ประสบภัย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติงานแข่งกับเวลาและแบกรับความคาดหวังของประชาชน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าและความเครียดสะสมได้ จึงขอแนะนำให้เจ้าหน้าที่หมั่นสังเกตสัญญาณความเครียดของตนเองและเพื่อนร่วมทีม
โดยควรจัดให้มีการสลับเปลี่ยนเวรเพื่อพักผ่อนเป็นระยะระหว่างปฏิบัติงาน มีการเปิดใจสื่อสารความรู้สึกภายในทีมเพื่อระบายความอัดอั้น ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และลดการตำหนิตนเองเมื่อต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่อยู่เหนือการควบคุมในการช่วยเหลือ กรมสุขภาพจิต ขอขอบคุณทีมอาสาสมัคร บุคลากรสาธารณสุขฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ที่ปฏิบัติงานด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ โดยถือว่าทุกท่านคือฮีโร่ในสถานการณ์วิกฤตนี้ และกรมสุขภาพจิตพร้อมที่จะดูแลด้านสุขภาพจิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ทั้งนี้ ในสถานการณ์วิกฤต ขอให้สังคมร่วมกันส่งกำลังใจและมองข้ามความก้าวร้าวที่เกิดขึ้นชั่วคราว โดยทำความเข้าใจถึงที่มาของความเจ็บปวดและความเครียดที่ซ่อนอยู่ภายใน เพื่อไม่ให้เกิดการตีตราหรือสร้างบาดแผลทางใจซ้ำเติมผู้ประสบภัย กรมสุขภาพจิตพร้อมจะอยู่เคียงข้างประชาชนทุกคนให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน หากประชาชนมีความเครียด กังวลใจ หรือพบเห็นคนใกล้ชิดมีปัญหาสุขภาพจิต สามารถโทรปรึกษาได้ที่ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
