โลก ดาวเคราะห์ที่เราอยู่อาศัยทุกวันตั้งแต่วันลืมตาดูโลกจนถึงวันที่เราถูกเผาผีอยู่ในเชิงตะกอน เรารู้จักโลกน้อยมาก "โลก" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงชีวิต สังคม ความเป็นอยู่ แต่หมายถึงดาวโลกจริงๆ เราเข้าใจธรรมชาติของมันน้อยมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากิน แต่เป็นความรู้รอบตัวทางธรรมชาติที่เราต้องประสบพบเจออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ผลงานการเขียนโดย Peter Reily ที่ปรึกษาโดย Clive Carpenter แปลโดย ชวธีร์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าโลกเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบ 30,000 เมตรต่อวินาที โลกมีน้ำหนักถึง 6,000 ล้านล้านล้านตัน ประมาณสองในสามของพื้นผิวหินของโลกปกคลุมไปด้วยน้ำ ซึ่งก็คือทะเลและมหาสมุทร ส่วนที่โผล่พ้นน้ำก็คือผืนแผ่นดิน รอบๆผิวโลกคือชั้นก๊าซที่เรียกว่า ชั้นบรรยากาศ กินระยะประมาณ 700 กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก พ้นจากนั้นไปคือห้วงอวกาศ ได้เรียนรู้ว่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกก่อเกิดขึ้นจากกลุ่มเมฆหมอกขนาดใหญ่ของก๊าซและฝุ่นละอองราว 4,500 ล้านปีก่อน ดาวฤกษ์ที่อยู่บริเวณใกล้ๆกับกลุ่มเมฆได้ระเบิดออกเหวี่ยงกลุ่มเมฆให้หมุนเป็นวง จากนั้นกลุ่มก๊าซจะรวมตัวบริเวณศูนย์กลางก่อตัวขึ้นเป็นดวงอาทิตย์ ฝุ่นละอองที่ถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วสูงรอบๆดวงอาทิตย์ก็รวมกันเป็นหินก้อนใหญ่ ต่อมาหินเหล่านี้พุ่งชนกันเองและหลอมรวมเป็นดาวเคราะห์ขึ้น โลกก็เป็นหนึ่งในนั้น ได้เรียนรู้ว่ามีหินก้อนใหญ่มากมายที่เรียกว่าอุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลก และทำให้เกิดหลุมบนผิวโลก หลุมเหล่านี้เรียกว่าหลุมอุกกาบาต ดวงจันทร์ก็ถูกอุกกาบาตพุ่งชนในช่วงเวลาเดียวกัน หากมองดวงจันทร์ด้วยกล้องสองตา เราก็จะเห็นหลุมอุกกาบาตที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ได้เรียนรู้ว่ามหาสมุทรและทะเลเกิดขึ้นเมื่อโลกเย็นตัวลง โดยเริ่มจากภูเขาไฟระเบิดปลดปล่อยไอน้ำ ก๊าซ และก้อนหินจากภายในตัวโลกออกมา เมื่อเย็นลง ไอน้ำก็กลายเป็นหยดน้ำเล็กๆที่ก่อตัวเป็นเมฆ เมื่อเย็นตัวลงอีก ฝนก็ตกลงมาจากก้อนเมฆ ซึ่งฝนตกนานนับล้านปีกว่าจะเกิดเป็นทะเลและมหาสมุทรขึ้น ได้เรียนรู้ว่าการหมุนของโลกทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน แต่ละส่วนของโลกหมุนเข้าหาแล้วก็หมุนออกจากดวงอาทิตย์ทุกๆวัน เมื่อส่วนใดของโลกหันเข้าหาดวงอาทิตย์ บริเวณนั้นก็จะเป็นกลางวัน พอส่วนนั้นหันออกจากดวงอาทิตย์ก็จะเป็นกลางคืน ได้เรียนรู้ว่าโลกที่กำลังหมุนมีคุณสมบัติเหมือนแม่เหล็ก ที่ใจกลางโลกนั้นคือเหล็กหลอมเหลว การที่โลกหมุนทำให้เหล็กกลายเป็นแม่เหล็กที่มีขั้วเหนือและขั้วใต้ ซึ่งส่งผลต่อแม่เหล็กในเข็มทิศ ทำให้เข็มทิศชี้ไปแนวเหนือ-ใต้เสมอ ได้เรียนรู้ว่าโลกแบ่งออกเป็นชั้นต่างๆหลายชั้น มีผิวเปลือกโลกเป็นชั้นหินบางๆ ชั้นกลางเป็นของแข็ง เรียกว่า เนื้อโลก ส่วนใจกลางโลก เรียกว่า แก่นโลก แก่นโลกชั้นนอกเป็นของเหลว แต่แก่นโลกชั้นในนั้นเป็นโลหะแข็ง ได้เรียนรู้ว่าเปลือกโลกแยกออกเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ เรียกว่า Plate ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นแผ่นดินและทะเลอยู่ด้วย ผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ที่อยู่บนแผ่นเปลือกโลกเรียกว่า ทวีป โลกของเรามีเจ็ดทวีปด้วยกัน ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกา ได้เรียนรู้ว่าการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้ชั้นหินงัดกันจนกลายเป็นภูเขา เมื่อแผ่นเปลือกโลกดันกันจะก่อให้เกิดความร้อนที่ทำให้หินอ่อนตัวจนเกิดการคดโค้งได้ ส่วนหินที่เย็นกว่าซึ่งอยู่ไกลออกไปจากจุดที่เกิดความร้อนนี้ก็เกิดการเบียดกันเนื่องจากผลของแรงดันนี้ด้วย หินที่บดเบียดกันทำให้เกิดรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ เรียกว่า แนวรอยเลื่อนของเปลือกโลก เมื่อชั้นหินระหว่างแนวรอยเลื่อนสองด้านถูกเปลือกโลกส่วนอื่นๆผลักดันเข้าก็จะยกตัวขึ้นกลายเป็นภูเขาบล็อก ได้เรียนรู้ว่าแผ่นดินไหวมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของเปลือกโลก ส่วนมากเกิดเมื่อแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นเสียดสีกัน แผ่นดินไหวเกิดลึกลงไปใต้ดินที่จุดศูนย์กลาง คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกจากจุดศูนย์กลางในทุกทิศทางไปสั่นสะเทือนชั้นหิน ตำแหน่งที่คลื่นความสั่นสะเทือนขึ้นมาแตะผิวโลกคือจุดเหนือศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการสั่นสะเทือนมากที่สุด ได้เรียนรู้ว่าแร่โลหะเกือบทั้งหมดพบในหินที่เป็นสินแร่ สินแร่ คือ ส่วนผสมของสารต่างๆ โลหะก็เป็นหนึ่งในนั้น โลหะแต่ละชนิดมีสินแร่เฉพาะตัวเอง ตัวอย่างเช่น อะลูมิเนียมพบในสินแร่สีเหลือง เรียกว่า บอกไซต์ (Bauxite) และต้องใช้ความร้อนในการแยกโลหะออกจากสินแร่ ซึ่งเราใช้โลหะทำเป็นสิ่งของสารพัดอย่าง ได้เรียนรู้ว่าโลกถูกห่อหุ้มด้วยชั้นก๊าซ เรียกว่า บรรยากาศ ภูมิอากาศเกิดในชั้นล่างสุดคือ โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) เหนือขึ้นไปคือ สตราโทสเฟียร์ (stratosphere) เครื่องบินจะแล่นในชั้นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่เลวร้าย มีโซสเฟียร์ (mesosphere) เป็นชั้นที่อยู่ตรงกลาง เหนือขึ้นไปคือชั้นเทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) ส่วนชั้นเอกโซสเฟียร์ (exosphere) นั้นอยู่เหนือหัวเราขึ้นไปประมาณ 700 กิโลเมตร ได้เรียนรู้ว่าโอเอซิสคือแอ่งน้ำในทะเลทราย เกิดจากน้ำฝนที่ซึมลงในทรายและถูกกักไว้ในหิน น้ำไหลผ่านหินไปยังบริเวณที่ทรายไม่หนามากและกลายเป็นแอ่งน้ำ มีต้นไม้และพืชเติบโตขึ้นรอบๆและสัตว์ต่างๆจะพากันดื่มน้ำที่นี่ ได้เรียนรู้ว่าป่าไม้แบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ ป่าสน ป่าเขตอบอุ่น และป่าเขตร้อน โลกของเรากว้างใหญ่และมีประเด็นที่น่าศึกษาไม่ใช่น้อย สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้อสงสัยที่คาใจครีเอเตอร์มาตั้งนานได้รับความกระจ่างแจ้ง สิ้นสงสัยในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกของเรา แม้เนื้อหาจะเน้นหนักไปในด้านทางธรณีวิทยาไปบ้าง แต่ภาพประกอบช่วยให้เรารู้สึกได้ว่าบางเรื่องมันก็ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด นอกจากนี้ประเด็นที่หนังสือได้นำเสนอก็สามารถทำออกมาได้น่าสนใจ แม้กับคนที่ไม่ใคร่อยากจะอ่านก็สนใจได้ แต่ต้องเป็นคนที่สนใจเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้จริงๆเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่อยากจะอ่านจนจบได้จริง เครดิตภาพภาพปก โดย freepik จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย freepik จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ 100 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ร่างกายของเรารีวิวหนังสือ 100 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกรีวิวหนังสือ 100 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไดโนเสาร์รีวิวหนังสือ 100 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ โรมโบราณรีวิวหนังสือ 100 น่ารู้เกี่ยวกับอาวุธและชุดเกราะเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !