'จุรินทร์' ชงตั้ง กองทุน FTA เยียวยาผลกระทบ ส่งต่อ คลัง พิจารณาก่อนเสนอ ครม.

วันที่ 21 สิงหาคม นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภารกิจกระทรวงพาณิชย์ที่รุดหน้าอีกด้านหนึ่งคือการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ล่าสุดนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้นโยบายใช้ ความตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTAให้เกิดประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนของคนไทย และเรามีความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ และ เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู และความตกลง RCEP ที่กำลังจะมีผลใช้บังคับในปีหน้าจะเป็นฉบับที่ 14 ของไทย
ทั้งนี้ แม้การเข้าร่วม FTA จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการค้า แต่ก็มีความท้าทาย เนื่องจากด้านหนึ่งมีผู้ได้ประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจากการลงพื้นที่รับฟังความเห็นที่ผ่านมาของกระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีเสียงเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ ให้รัฐมีการจัดตั้งกองทุน FTA อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ให้สามารถปรับตัวรับมือกับการแข่งขันในตลาดการค้าเสรี
และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เล็งเห็นถึงปัญหา จึงได้มีการตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อร่วมกันหาแนวทางและจัดทำข้อเสนอการจัดตั้งกองทุน FTA
ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 นายจุรินทร์ ได้เห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งกองทุน FTA ของคณะทำงานและได้ส่งเรื่องถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ทั้งนี้เพื่อขอให้นำเรื่องการขอจัดตั้งกองทุน FTA ของกระทรวงพาณิชย์ เข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรรี พร้อมกันนี้ทางกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินกระบวนการรับฟังความเห็นต่อ ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน FTA ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีตามกระบวนการตรากฎหมายด้วยต่อไป
” สำหรับกองทุน FTA ที่เสนอจัดตั้ง จะมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ทั้งภาคการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยจะให้ความช่วยเหลือใน 2 รูปแบบ คือ เงินจ่ายขาด เช่น การวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ปรึกษา การฝึกอบรม กิจกรรมที่สนับสนุนการตลาด และเงินกู้ยืม เช่น เงินลงทุน ค่าใช้จ่ายหมุนเวียน โดยจะดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานทั้งรัฐ เอกชน เกษตร วิชาการ และธนาคาร เพื่อเป็นตัวกลางให้กับกลุ่มผู้ขอรับความช่วยเหลือในการช่วยเขียนโครงการและเสนอโครงการมายังกองทุน สำหรับที่มาของเงินกองทุนส่วนใหญ่ จะขอทุนประเดิมจากรัฐบาล 5,000 ล้านบาท และจากงบประมาณประจำปี 120-150 ล้านต่อปี นอกจากนี้ กองทุนจะมีการพิจารณาจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ที่ได้ประโยชน์จาก FTA ทั้งผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการด้วย ซึ่งในเบื้องต้นได้มีข้อเสนอให้จัดเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ประสงค์จะใช้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับการส่งออกภายใต้ FTA โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและไม่เป็นภาระเกินความจำเป็นต่อภาคเอกชน ซึ่งก็จะนำมาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นหลัก ” นางมัลลิกา กล่าว
นอกจากนี้ รายงานกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุด้วยว่า การจัดตั้งกองทุน FTA อย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการจัดทำ FTA เพื่อขยายโอกาศทางการค้าและรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทย และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบแก่ทุกภาคส่วน ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 178 ที่ได้กำหนดให้มีการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบทางด้านนี้