การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ไม่ต่างอะไรกับแหล่งเรียนรู้อันกว้างใหญ่และไม่รู้จบ วันนี้ ผู้เขียนเลยอยากพาเพื่อน ๆ ไปท่องเที่ยวและเรียนรู้เกี่ยวกับสุภาษิตและคำพังเพย จากวัดไผ่โรงวัว ที่น้อยคนในเมืองสุพรรณจะไม่รู้จักกัน !ถ่ายภาพโดย : นิจ อักษราถ่ายภาพโดย : นิจ อักษราวัดไผ่โรงวัว เป็นวัดที่ผู้เขียนคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก อาจเป็นเพราะเราเกิดและเติบโตที่นี่ แม้จะไม่ได้ไปเที่ยวที่วัดแห่งนี้บ่อยนัก เพราะอยู่ไกลจากบ้านพอสมควร แต่หากมีเวลาก็มักจะพากันไปสักครั้ง ด้วยชื่นชอบในความกว้างใหญ่ของอาณาบริเวณวัด และมีหลากหลายส่วนที่น่าสนใจ อาทิ รูปหล่อของพระพุทธรูปต่าง ๆ พระวิหารร้อยยอด เจดีย์ร้อยยอด และที่หลายคนคุ้นเคย และจดจำกันมากก็คือ เมืองสวรรค์ และเมืองนรกจำลอง เด็ก ๆ หลายคนอาจมีความกลัว หรือหลายคนอาจรู้สึกถึงการได้เรียนรู้ถึงหลักธรรมต่าง ๆ มากมายในเมืองสวรรค์ และเมืองนรกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเปรตตัวสูงที่ยืนขอส่วนบุญ หรือเหล่าเปรตที่ปีนต้นงิ้ว ทุกอย่างถูกจำลองขึ้นตามแก่นสารของพระพุทธศาสนา จึงนับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจ อีกทั้งยังได้ท่องเที่ยวกราบไหว้สักการะพระพุทธโคดม ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะสัมฤทธิ์ที่องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วยถ่ายภาพโดย : นิจ อักษราแต่ในวันนี้ ผู้เขียนเลือกที่จะนำเพื่อน ๆ ไปเที่ยวชมอีกมุมหนึ่งของวัดไผ่โรงวัวแห่งนี้ นั่นก็คือมุมแห่งการสร้างสรรค์รูปปั้นเสมือนจริง ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงคำพังเพยที่มีมาแต่โบราณกาล และทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เคยผ่านการเรียนวิชาภาษาไทย รวมถึงได้รับการอบรมสั่งสอนโดยการเปรียบเทียบกับสุภาษิตคำพังเพยจากปู่ย่าตายาย ก็ย่อมร้องอ๋อกันเลยทีเดียว เมื่อผ่านรูปปั้นเหล่านี้ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นในอีกโซนหนึ่งเพื่อการเรียนรู้อย่างแท้จริงถ่ายภาพโดย : นิจ อักษราภาพแรก ๆ ที่สะดุดตา เป็นภาพของคนกำลังผูกวัวไว้กับเสาหลัก ส่วนต่อเนื่องอีกหนึ่งงานปั้น ก็จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงผู้เป็นแม่ที่เงื้อมือขึ้นตีบุตรของตน ซึ่งพ้องกับคำพังเพยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” นั่นเอง นอกเหนือจากนั้น ยังมีสุภาษิตคำพังเพยอีกมากมาย ที่สื่อสารผ่านรูปปั้น อาทิ สีซอให้ควายฟัง เข็นครกขึ้นภูเขา หนีเสือปะจระเข้ เรียกว่านอกจากเพลิดเพลินกับการชมประติมากรรมต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ยังได้ลับสมองคิดตามเพื่อค้นคว้าหาความหมายของสุภาษิตและคำพังเพยเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันด้วยล่ะถ่ายภาพโดย : นิจ อักษราถ่ายภาพโดย : นิจ อักษราอย่างไรก็ตาม หากเพื่อน ๆ มีเวลา ภายหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว เราคงสามารถเข้าเยี่ยมชมความสวยงามของวัดไผ่โรงวัวแห่งนี้กันได้อีกครั้งแน่นอนค่ะ ซึ่งวัดไผ่โรงวัวแห่งนี้ จะอยู่ห่างจากตัวจังหวัดสุพรรณฯ ประมาณ 43 กม. และห่างจากกรุงเทพฯ 70 กม. เส้นทางรถยนต์สะดวกสบายตามถนนสายตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ซึ่งจะมีทางแยกซ้ายก่อนถึงสามแยกลาดบัวหลวง มีป้ายบอกทางชัดเจน รับรองไม่หลงกันแน่นอนค่ะ !