ชิงช้าสวรรค์แบบใหม่ ไร้ซี่เหล็ก (ว่าที่) สูงที่สุดในโลก เห็นกรุงโซล 360 องศา
หากพูดถึงชิงช้าสวรรค์ที่คุ้นตาตามงานวัดบ้านเรา ก็จะเป็นโครงสร้างวงกลม มีซี่เหล็กที่ยึดจากจุดศูนย์กลาง และมีกระเช้าอยู่รอบ ๆ คอยหมุนไปเรื่อย ๆ แต่ล่าสุดบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมสัญชาติเนเธอร์แลนด์อย่าง ยูเอ็นสตูดิโอ (UNStudio) ได้เปิดเผยแผนการสร้างชิงช้าสวรรค์ไร้ซี่เหล็กที่สูงที่สุดในโลก แต่หากเทียบกับชิงช้าสวรรค์ทั้งหมดมันจะสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ชิงช้าสวรรค์นี้จะสร้างที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
สถาปัตยกรรมแปลกตานี้ชื่อ โซล ทวิน อาย (Seoul Twin Eye) แปลตรงตัวอาจจะได้ว่า ดวงตาคู่แห่งกรุงโซล จะเป็นโครงสร้างวงแหวน 2 วงที่ตัดกัน ตัวกระเช้าโดยสารเรียกว่า พ็อด (Pod) ซึ่งก็จะหมุนรอบ ๆ วงแหวนด้วยระบบรางแทนการหมุนเหมือนชิงช้าสวรรค์แบบทั่วไป มีทั้งหมด 64 พ็อด (Pod) แต่ละพ็อดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 25 คน นั่นหมายความว่าสามารถรองรับผู้เยี่ยมชมได้มากถึง 1,600 คนในเวลาเดียวกัน
โครงสร้างที่ออกแบบไว้ ต้องการให้ชิงช้าสวรรค์ดังกล่าว มีเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลมคือ 180 เมตร และจะตั้งอยู่บนอาคารวัฒนธรรมที่สูง 40 เมตรอีกที จึงทำให้ความสูงตั้งแต่ปลายยอดชิงช้าสวรรค์ถึงพื้นดินอยู่ที่ 220 เมตร และด้วยความสูงนี้จะทำให้มันกลายเป็นชิงช้าที่สูงอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ชิงช้าสวรรค์ชื่อ ไอน์ ดูไบ (Ain Dubai) ที่สูง 250 เมตร เปิดให้บริการในเดือนตุลาคม 2021 ตั้งอยู่ที่เกาะบลูวอเตอร์ส ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ทั้งนี้ไอน์ ดูไบ ปิดให้บริการไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2022 ดังนั้นหากโซล ทวิน อาย สร้างเสร็จ มันก็จะขึ้นเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลกที่เปิดให้บริการ
แนวคิดการออกแบบชิงช้าสวรรค์นี้คือความสามัคคี วงแหวนได้รับแรงนับดาลใจจากนาฬิกาฮอนชอนซิกเย (Honcheonsigye) ซึ่งเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ที่แสดงถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวบนอวกาศ นอกจากนี้โครงสร้างของโซลทวินอายมีทั้งความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงความแข็งแรงเพราะมีทั้งระบบต้านทานแผ่นดินไหวและลมด้วย
การสร้างชิงช้าสวรรค์นี้จะร่วมมือกับบริษัทปรึกษาด้านวิศวกรรมและการออกแบบในลอนดอน เอรัป (Arup) และบริษัทวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมสัญชาติเกาหลีใต้อย่างฮีริม อาร์คิเท็ก (Heerim Architects)
ทั้งนี้โซลทวินอายน่าจะเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์โซลริง (Seoul Ring) ของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ประกาศไปเมื่อปี 2023 โดยมีกำหนดการเริ่มสร้างในปี 2025 คาดว่าจะเแล้วเสร็จภายในปี 2028 และเมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ ก็อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์กที่คนชอบท่องเที่ยวแดนโสม คงต้องไปเยือนกันสักครั้ง
ที่มาข้อมูล UNStudio, NewAtlas
ที่มารูปภาพ UNStudio