#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ติดตามช่วงท้ายฤดูแล้งปี 2566/67 อย่างใกล้ชิด ในช่วงรอยต่อเดือนพฤษภาคม ที่จะเข้าสู่ฤดูฝน อีกทั้งเป็นช่วงการเพาะปลูก ที่ยังมีความเสี่ยงกรณีภาวะฝนทิ้งช่วง จึงกำชับกรมชลประทานให้ดูแลสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ไม่ให้กระทบกับเกษตรกรและผู้ใช้น้ำ อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 ที่จะสิ้นสุดลงใน วันที่ 30 เมษายนนี้ พบว่าการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2566 - ปัจจุบัน ใช้น้ำไปแล้วกว่า 21,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 85 ของแผนจัดสรรน้ำ ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา คือเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุง แดน ป่าสักชลสิทธิ์ ใช้น้ำไปแล้วประมาณ 7,600 ล้าน,กบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 88 ของแผนจัดสรรน้ำ ผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งทั้งประเทศ จำนวนดว่า 13 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 122 ของแผน โดยพื้นที่ปลูกข้าวรอบที่ 2 เกินกว่าแผน รวม 55 จังหวัด กว่าแผนกว่า 4 ล้านไร่ ซึ่งเพื่อบรรเทาภัยแล้งและช่วยเกษตรกรทาง กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้ปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่องขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า แม้ปรากฎการณ์เอลนีโญใกล้จบ แต่สถานการณ์โลกเดือดยังคงดำเนินต่อไป และปริมาณฝนแทบไม่มี ส่งผลให้ทะเลร้อน น้ำระเหยได้มาก เมฆจุไอน้ำได้เยอะขึ้น เกษตรกร หรืออาชีพที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ เช่น ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์บก, สัตว์น้ำ ต้องระวังให้หนัก เพราะฝนยังไม่มา อุณหภูมิยังไม่ลดผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ยังบอกด้วยว่า ทางแก้ไขเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเราได้ทำร้ายโลกมานับร้อยปีที่ก๊าซเรือนกระจกสะสมบนฟ้า ทะเลช่วยดูดซับความร้อนไว้ แต่ตอนนี้ทะเลก็ช่วยดูดซับความร้อนไว้ไม่ไหว จึงมาถึงจุดที่ต้องหาทางรอด ปรับตัวเท่าที่ทำได้ และช่วยกันก๊าชเรือนกระจกปัจจัยที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ภาพจาก: AFP
อ่านต่อ >58
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
รัฐบาลห่วงใยยอดโควิดยังพุ่งหลังสงกรานต์ ขอให้ประชาชนมั่นใจโรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมรับมือผู้ป่วยโควิด แนะใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด รีบตรวจ ATK หากมีอาการคล้ายหวัดน.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปัจจุบันโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 14-20 เมษายน 2567) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกราย เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคเรื้อรัง (608) รัฐบาลอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อม ทั้งด้านบุคคลากร เตียงรองรับผู้ป่วยเวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอให้ประชาชนเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัดที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และจำเป็นต้องล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK ที่บ้าน และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบาก ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วนของกรมควบคุมโรคได้ที่ 1422ข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE
อ่านต่อ >12
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายคารม พรพลกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับผู้กู้ยืมนั้น จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้กู้ยืมที่กองทุนฯ ดำเนินคดีในช่วงปี 2557 ยังมีภาระหนี้ค้าง กองทุนฯ จึงขอเชิญผู้กู้ยืมกลุ่มนี้ติดต่อปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้มีโอกาสผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาใหม่ เพื่อขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้อีก 15 ปี และผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดทันทีหลังจากทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ในกรณีนี้กองทุนฯ อาจจำเป็นต้องบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อป้องกันการขาดอายุความ แต่จะงดการขายทอดตลาดไว้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้กู้ยืมกลุ่มดังกล่าวไม่ต้องกังวลใจ สำหรับเงื่อนไขในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กำหนดให้ผู้กู้ยืมผ่อนชำระเงินคืนกองทุนฯ เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน และต้องชำระภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี โดยในการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ เมื่อชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้นกองทุนฯจะให้ส่วนลดเบี้ยปรับเดิมที่ตั้งพักไว้ทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถเข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้ที่งาน “มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2567 ณ เทศบาลเมืองบ้านสวน จังหวัดชลบุรี และวันที่ 28 เมษายน 2567 ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ กรุงเทพฯ หลังจากนั้นจะมีการจัดในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป และผู้กู้ยืมสามารถเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ได้ที่สำนักงานกองทุนฯ ทุกวัน โดยสามารถลงทะเบียนนัดหมายเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ได้ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.thข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE / กยศ.
อ่านต่อ >21
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำที่ เขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท กุญแจสำคัญในการบริหารจัดการน้ำลุ่มภาคคกลาง ล่าสุดได้คงการระบายน้ำไว้ที่อัตรา 70 ลูกบาศเมตรต่อวินาที เน้นสงวนใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการรับมือปัญหาภัยแล้งเป็นหลัก ขณะที่ปริมาณน้ำเหนือเริ่มมีปริมาณที่คงตัวต่อเนื่อง โดยที่จุดวัดน้ำ C2 หน้าค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ ลงมาที่เขื่อนเจ้าพระยาวัดได้ 311 ลูกบาศเมตรต่อวินาที ขณะที่ระดับน้ำเหนือเขื่อนล่าสุดวัดได้ 14.67 ม.รทก.(เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่ามาตรฐานกักเก็บ16.50 ม.รทก. เข้าสู่วันที่ 148 (ล่าสุดที่ระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์คือ 28 พ.ย.66) ทั้งนี้ จากที่เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำลงท้ายเขื่อนในอัตราคงที่ ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนยังต่ำจนสันดอนทรายโผล่พ้นน้ำ ล่าสุดวันนี้วัดได้ 5.41 ม.รทก. ขณะเดียวกันกรมชลประทานได้เน้นการผันน้ำเข้าทุ่งทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น เพื่อส่งน้ำเข้าพื้นที่เพื่อการอุปโภคบริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวม 179 ลูกบาศเมตรต่อวินาที โดยฝั่งตะวันออกผันน้ำผ่านคลองชัยนาทป่าสัก คลองช่องแค และคลองมหาราช รวม 103 ลูกบาศเมตรต่อวินาที ส่วนฝั่งตะวันตกผันน้ำผ่านคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำน้อย รวม 76ลบ.ม./วิ ซึ่งจากสถานการณ์น้ำล่าสุด ทางราชการจึงย้ำขอความร่วมมือเกษตรกร ขอให้งดการทำนาต่อเนื่อง ถ้าจะทำการเพาะปลูกขอให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ประชาชนทั่วไปขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะประเทศไทยยังจะต้องได้รับอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะทำให้ฝนตกน้อยกว่าเกณฑ์ไปจนถึงเดือนมิ.ย.
อ่านต่อ >34
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ติดตามช่วงท้ายฤดูแล้งปี 2566/67 อย่างใกล้ชิด ในช่วงรอยต่อเดือนพฤษภาคม ที่จะเข้าสู่ฤดูฝน อีกทั้งเป็นช่วงการเพาะปลูก ที่ยังมีความเสี่ยงกรณีภาวะฝนทิ้งช่วง จึงกำชับกรมชลประทานให้ดูแลสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ไม่ให้กระทบกับเกษตรกรและผู้ใช้น้ำ อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 ที่จะสิ้นสุดลงใน วันที่ 30 เมษายนนี้ พบว่าการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2566 - ปัจจุบัน ใช้น้ำไปแล้วกว่า 21,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 85 ของแผนจัดสรรน้ำ ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา คือเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุง แดน ป่าสักชลสิทธิ์ ใช้น้ำไปแล้วประมาณ 7,600 ล้าน,กบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 88 ของแผนจัดสรรน้ำ ผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งทั้งประเทศ จำนวนดว่า 13 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 122 ของแผน โดยพื้นที่ปลูกข้าวรอบที่ 2 เกินกว่าแผน รวม 55 จังหวัด กว่าแผนกว่า 4 ล้านไร่ ซึ่งเพื่อบรรเทาภัยแล้งและช่วยเกษตรกรทาง กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้ปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่องขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า แม้ปรากฎการณ์เอลนีโญใกล้จบ แต่สถานการณ์โลกเดือดยังคงดำเนินต่อไป และปริมาณฝนแทบไม่มี ส่งผลให้ทะเลร้อน น้ำระเหยได้มาก เมฆจุไอน้ำได้เยอะขึ้น เกษตรกร หรืออาชีพที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ เช่น ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์บก, สัตว์น้ำ ต้องระวังให้หนัก เพราะฝนยังไม่มา อุณหภูมิยังไม่ลดผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ยังบอกด้วยว่า ทางแก้ไขเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเราได้ทำร้ายโลกมานับร้อยปีที่ก๊าซเรือนกระจกสะสมบนฟ้า ทะเลช่วยดูดซับความร้อนไว้ แต่ตอนนี้ทะเลก็ช่วยดูดซับความร้อนไว้ไม่ไหว จึงมาถึงจุดที่ต้องหาทางรอด ปรับตัวเท่าที่ทำได้ และช่วยกันก๊าชเรือนกระจกปัจจัยที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ภาพจาก: AFP
อ่านต่อ >58
#โควิด-19 #TNN ช่อง16
รัฐบาลห่วงใยยอดโควิดยังพุ่งหลังสงกรานต์ ขอให้ประชาชนมั่นใจโรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อมรับมือผู้ป่วยโควิด แนะใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่แออัด รีบตรวจ ATK หากมีอาการคล้ายหวัดน.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปัจจุบันโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม กำชับทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 14-20 เมษายน 2567) พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวน 1,004 ราย เฉลี่ย 143 รายต่อวัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ โดยพบผู้ป่วยมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีผู้ป่วยอาการรุนแรงปอดอักเสบ 292 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 101 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยผู้เสียชีวิตทุกราย เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคเรื้อรัง (608) รัฐบาลอยากให้ประชาชนมั่นใจว่า โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อม ทั้งด้านบุคคลากร เตียงรองรับผู้ป่วยเวชภัณฑ์ ตลอดจนมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอให้ประชาชนเน้นสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยการสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัดที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และจำเป็นต้องล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการคล้ายหวัด ควรทำการตรวจ ATK ที่บ้าน และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง 608 หากผลตรวจเป็นบวก 2 ขีด ให้สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และพบแพทย์โดยเร็วเมื่อมีอาการหายใจลำบาก ทั้งนี้ สำหรับกลุ่ม 608 คือกลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการคล้ายหวัด และผลตรวจ ATK เป็นบวก 2 ขีด ควรสวมหน้ากากและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาการรุนแรง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วนของกรมควบคุมโรคได้ที่ 1422ข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE
อ่านต่อ >12
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายคารม พรพลกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับผู้กู้ยืมนั้น จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้กู้ยืมที่กองทุนฯ ดำเนินคดีในช่วงปี 2557 ยังมีภาระหนี้ค้าง กองทุนฯ จึงขอเชิญผู้กู้ยืมกลุ่มนี้ติดต่อปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้มีโอกาสผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาใหม่ เพื่อขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้อีก 15 ปี และผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดทันทีหลังจากทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ในกรณีนี้กองทุนฯ อาจจำเป็นต้องบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อป้องกันการขาดอายุความ แต่จะงดการขายทอดตลาดไว้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้กู้ยืมกลุ่มดังกล่าวไม่ต้องกังวลใจ สำหรับเงื่อนไขในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กำหนดให้ผู้กู้ยืมผ่อนชำระเงินคืนกองทุนฯ เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน และต้องชำระภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี โดยในการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ เมื่อชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้นกองทุนฯจะให้ส่วนลดเบี้ยปรับเดิมที่ตั้งพักไว้ทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถเข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้ที่งาน “มหกรรมแก้หนี้ สร้างวิถีแห่งความเป็นธรรม” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2567 ณ เทศบาลเมืองบ้านสวน จังหวัดชลบุรี และวันที่ 28 เมษายน 2567 ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ กรุงเทพฯ หลังจากนั้นจะมีการจัดในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป และผู้กู้ยืมสามารถเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ได้ที่สำนักงานกองทุนฯ ทุกวัน โดยสามารถลงทะเบียนนัดหมายเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ได้ทางเว็บไซต์ www.studentloan.or.thข้อมูลจาก รัฐบาลไทยภาพจาก TNN ONLINE / กยศ.
อ่านต่อ >21
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำที่ เขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท กุญแจสำคัญในการบริหารจัดการน้ำลุ่มภาคคกลาง ล่าสุดได้คงการระบายน้ำไว้ที่อัตรา 70 ลูกบาศเมตรต่อวินาที เน้นสงวนใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการรับมือปัญหาภัยแล้งเป็นหลัก ขณะที่ปริมาณน้ำเหนือเริ่มมีปริมาณที่คงตัวต่อเนื่อง โดยที่จุดวัดน้ำ C2 หน้าค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ ลงมาที่เขื่อนเจ้าพระยาวัดได้ 311 ลูกบาศเมตรต่อวินาที ขณะที่ระดับน้ำเหนือเขื่อนล่าสุดวัดได้ 14.67 ม.รทก.(เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่ามาตรฐานกักเก็บ16.50 ม.รทก. เข้าสู่วันที่ 148 (ล่าสุดที่ระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์คือ 28 พ.ย.66) ทั้งนี้ จากที่เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำลงท้ายเขื่อนในอัตราคงที่ ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนยังต่ำจนสันดอนทรายโผล่พ้นน้ำ ล่าสุดวันนี้วัดได้ 5.41 ม.รทก. ขณะเดียวกันกรมชลประทานได้เน้นการผันน้ำเข้าทุ่งทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น เพื่อส่งน้ำเข้าพื้นที่เพื่อการอุปโภคบริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวม 179 ลูกบาศเมตรต่อวินาที โดยฝั่งตะวันออกผันน้ำผ่านคลองชัยนาทป่าสัก คลองช่องแค และคลองมหาราช รวม 103 ลูกบาศเมตรต่อวินาที ส่วนฝั่งตะวันตกผันน้ำผ่านคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำน้อย รวม 76ลบ.ม./วิ ซึ่งจากสถานการณ์น้ำล่าสุด ทางราชการจึงย้ำขอความร่วมมือเกษตรกร ขอให้งดการทำนาต่อเนื่อง ถ้าจะทำการเพาะปลูกขอให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ประชาชนทั่วไปขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัด เพราะประเทศไทยยังจะต้องได้รับอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะทำให้ฝนตกน้อยกว่าเกณฑ์ไปจนถึงเดือนมิ.ย.
อ่านต่อ >34
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ติดตามช่วงท้ายฤดูแล้งปี 2566/67 อย่างใกล้ชิด ในช่วงรอยต่อเดือนพฤษภาคม ที่จะเข้าสู่ฤดูฝน อีกทั้งเป็นช่วงการเพาะปลูก ที่ยังมีความเสี่ยงกรณีภาวะฝนทิ้งช่วง จึงกำชับกรมชลประทานให้ดูแลสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ไม่ให้กระทบกับเกษตรกรและผู้ใช้น้ำ อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 ที่จะสิ้นสุดลงใน วันที่ 30 เมษายนนี้ พบว่าการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2566 - ปัจจุบัน ใช้น้ำไปแล้วกว่า 21,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 85 ของแผนจัดสรรน้ำ ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา คือเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุง แดน ป่าสักชลสิทธิ์ ใช้น้ำไปแล้วประมาณ 7,600 ล้าน,กบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 88 ของแผนจัดสรรน้ำ ผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งทั้งประเทศ จำนวนดว่า 13 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 122 ของแผน โดยพื้นที่ปลูกข้าวรอบที่ 2 เกินกว่าแผน รวม 55 จังหวัด กว่าแผนกว่า 4 ล้านไร่ ซึ่งเพื่อบรรเทาภัยแล้งและช่วยเกษตรกรทาง กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้ปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่องขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า แม้ปรากฎการณ์เอลนีโญใกล้จบ แต่สถานการณ์โลกเดือดยังคงดำเนินต่อไป และปริมาณฝนแทบไม่มี ส่งผลให้ทะเลร้อน น้ำระเหยได้มาก เมฆจุไอน้ำได้เยอะขึ้น เกษตรกร หรืออาชีพที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ เช่น ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์บก, สัตว์น้ำ ต้องระวังให้หนัก เพราะฝนยังไม่มา อุณหภูมิยังไม่ลดผู้ช่วยศาสตราจารย์ธรณ์ ยังบอกด้วยว่า ทางแก้ไขเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเราได้ทำร้ายโลกมานับร้อยปีที่ก๊าซเรือนกระจกสะสมบนฟ้า ทะเลช่วยดูดซับความร้อนไว้ แต่ตอนนี้ทะเลก็ช่วยดูดซับความร้อนไว้ไม่ไหว จึงมาถึงจุดที่ต้องหาทางรอด ปรับตัวเท่าที่ทำได้ และช่วยกันก๊าชเรือนกระจกปัจจัยที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ภาพจาก: AFP
อ่านต่อ >58