#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ตามข้อมูลของเวรี่เวลล์ เฮลธ์ (Very Health) เว็บไซต์ด้านสุขภาพสัญชาติสหรัฐฯ ระบุว่า คนตาสีฟ้าบนโลกมี 8 - 10% ของประชากรทั้งหมดบนโลก หรือประมาณ 800 ล้านคน แต่รู้หรือไม่ว่า ตาสีฟ้าเกิดมาจากการกลายพันธุ์ และนักวิทยาศาสตร์พบว่า คนตาสีฟ้าทุกคนบนโลกสืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์ของมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นชาวยุโรปที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 6,000 - 10,000 ปีก่อนทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีข้อนี้และตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารฮิวแมน เจเนติกส์ (Human Genetics) เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2008 ศาสตราจารย์ ฮานส์ ไอเบิร์ก (Hans Eiberg) จากภาควิชาเวชศาสตร์เซลล์และโมเลกุล ผู้เขียนหลักของการศึกษานี้อธิบาย ว่ามนุษย์มียีนส์ชื่อ OCA2 ซึ่งรับผิดชอบการสร้างเม็ดสีน้ำตาลในดวงตาของมนุษย์ ดังนั้นแล้วเดิมทีมนุษย์ทุกคนมีดวงตาสีน้ำตาล แต่แล้วก็ได้เกิดการกลายพันธุ์ในยีนส์ เรียกยีนส์นี้ว่า HERC2 ซึ่งยีนส์ที่กลายพันธุ์นี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีน้ำตาลในดวงตา จนสีดวงตาจางลงและกลายเป็นสีฟ้าทีมนักวิจัยได้ศึกษา DNA ของไมโตคอนเดรีย (อวัยวะขนาดเล็กของเซลล์ ทำหน้าที่ผลิตพลังงานและมี DNA เป็นของตัวเอง) ของคนตาสีฟ้าในหลายประเทศ คือ จอร์แดน เดนมาร์ก และตุรกี ผลคือพบว่าการกลายพันธุ์ของคนตาสีฟ้าทั้งหมดนั้นมีลักษณะการกลายพันธุ์แบบเดียวกันทุกประการและการกลายพันธุ์อยู่ในตำแหน่งเดียวกันด้วย ทั้งนี้ DNA ของมนุษย์นั้นยาวมาก มีตำแหน่งที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 3 พันล้านตำแหน่ง ดังนั้นหากไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์จากบรรพบุรุษคนเดียวกัน มันจะเป็นไปได้ยากมากที่การกลายพันธุ์จะเกิดอยู่ตำแหน่งเดียวกันไม่เพียงลักษณะการกลายพันธุ์และตำแหน่งเกิดการพันธุ์ใน DNA แบบเดียวกันเท่านั้น อีกหลักฐานคือ DNA ที่อยู่รอบการกลายพันธุ์ เรียกว่า ฮาโพลไทป์ (Haplotypes) หากสืบเชื้อสายการกลายพันธุ์มาจากยีนส์ของบรรพบุรุษที่แตกต่างกัน มันต้องมีความแตกต่างกัน แต่ในการศึกษา พบว่าคนตาสีฟ้าทุกคนมี DNA ที่อยู่รอบการกลายพันธุ์แบบเดียวกันทั้งหมดดังนั้นหลักฐานเหล่านี้จึงชี้ว่าคนตาสีฟ้าทุกคนบนโลก สืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์ของมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นชาวยุโรปที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อ 6,000 - 10,000 ปีที่แล้ว อาศัยอยู่บริเวณทะเลดำของยุโรป (ทะเลที่อยู่ระหว่างทวีปยุโรป (ด้านตะวันออกเฉียงใต้) เอเชียไมเนอร์ และ
อ่านต่อ >16
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ทีมข่าว TNN หวังว่าบทความนี้จะช่วยสร้างการตระหนักรู้และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมต่อกลุ่มแรงงานเหล่านี้วิกฤตขยะเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อหลายๆ ประเทศทั่วโลก หนึ่งในกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้โดยตรงคือ ‘คนเก็บขยะ’ กลุ่มคนที่มักถูกมองข้ามและไม่ค่อยได้รับการยกย่องจากสังคม แต่ทว่ามีบทบาทสำคัญในการจัดการขยะ‘คนเก็บขยะ’ มีบทบาทสำคัญในการจัดการขยะ พวกเขารับผิดชอบในการเก็บขยะจากถนน บ้านเรือน และสถานประกอบการต่างๆ นำไปยังสถานที่จัดการขยะ การทำงานของพวกเขาช่วยให้สภาพแวดล้อมในชุมชนสะอาดและปลอดภัยขึ้นคนเก็บขยะมักเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในการทำงาน‘คนเก็บขยะ’ ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากและเสี่ยงต่ออันตราย พวกเขาต้องเผชิญกับขยะที่สกปรก เต็มไปด้วยเชื้อโรค และอาจมีอันตรายจากสารเคมี การสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนเก็บขยะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคทางระบบหายใจ โรคผิวหนัง และโรคมะเร็ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพวกเขานอกจากนี้ ‘คนเก็บขยะ’ มักได้รับค่าจ้างที่ต่ำ ไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ และต้องทำงานหนัก ทำให้พวกเขามีความยากลำบากในการจัดการชีวิตประจำวัน ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เนื่องจากสังคมมักมองว่าคนเก็บขยะเป็นคนชั้นต่ำและไร้ค่ากวาดถนน-เก็บขยะ "งานหนัก" เงินน้อย "เสี่ยงตาย" บนท้องถนนบทความนี้ขอมุ่งเน้นไปที่ ชีวิตบนความเสี่ยง ของ ‘คนเก็บขยะ-คนกวาดถนน’ ซึ่งเป็น โซ่ข้อสุดท้าย ที่เชื่อมต่อกับประชาชน พวกเขาทำงานหนักเพื่อรักษาความสะอาดของเมืองหลวง แต่ได้รับ เงินเดือนน้อย และ ขาดสวัสดิการ ที่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเผชิญกับ ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ อยู่เสมอชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยกล่าวถึงความสำคัญของการดูแลลูกจ้างที่เป็นผู้น้อย เงินเดือนน้อย ซึ่งเป็นโซ่ข้อสุดท้ายที่เชื่อมเราเข้ากับประชาชน หากพวกเขาไม่มีกำลังใจไปทำงานให้ประชาชน นโยบายดีก็ไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครมีลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวทั้งสิ้น 28,122 ราย โดยเป็นลูกจ้างประจำ 17,901 ราย แบ่งเป็นด้านเก็บขนมูลฝอย 7,489 ราย กวาด 6,029 ราย สวนสาธารณะ 3,492 ราย และสิ่งปฏิกูล 891 ราย และล
อ่านต่อ >19
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (17 เมษายน 2567) มีประชาชนจากจังหวัดทางภาคอีสานจำนวนไม่น้อยที่เลือกเดินทางกลับไปทำงานในวันนี้ หลังจากหยุดยาวฉลองสงกรานต์มาต่อเนื่องหลายวัน ทำให้บรรยากาศการเดินทางบนถนนมิตรภาพ ขาล่องเข้ากรุงเทพมหานคร หรือไปยังจังหวัดทางภาคตะวันออก ยังมีรถค่อนข้างหนาแน่นเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะถนนมิตรภาพ ช่วงผ่านแยกสัญญาณไฟจราจร ตลาดแค อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแยกที่มีรถจากจังหวัดทางภาคอีสานหลายจังหวัดจะต้องสัญจรผ่านที่จุดนี้ก่อนจะเข้าเขต อ.เมืองนครราชสีมา นอกจากนี้ ยังมีรถที่สัญจรบนเส้นทางสายรองต่างๆ ใน อ.พิมาย อาทิ ถนนสายพิมาย-ชุมพวง , ถนนสายพิมาย-ห้วยแถลง และถนนสายพิมาย-จักราช สัญจรมาแยกคลาดแคนี้ด้วย จึงทำให้ปริมาณรถบนถนนมิตรภาพที่บริเวณดังกล่าวเพิ่มจำนวนมากขึ้น เคลื่อนตัวช้า มีรถสัญจรเต็มทุกช่องทางอีกทั้งสัญญาณไฟจราจรไม่สอดคล้องกับสภาพการจราจรในจุดนั้น เนื่องจากปริมาณรถบนทางมากเกิน รถชะลอตัว สลับกับหยุดนิ่ง เมื่อเปลี่ยนเป็นไฟเขียว รถจึงไม่สามารถผ่านไปได้ ผู้ขับขี่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยหลังจากผ่านแยกตลาดแคไปได้แล้ว รถสามารถเคลื่อนตัวได้ดี ทำความเร็วได้ประมาณ 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นายศิวะเสก สินโทรัมย์ นายอำเภอพิมาย พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอพิมาย ได้ลงพื้นที่ตรวจตราจุดบริการประชาชนแต่ละจุดในพื้นที่ดูแล เพราะจุดบริการย่อยเหล่านี้ เสมือนเป็น “ด่านชุมชน” ที่จะช่วยสอดส่องและสกัดผู้ขับขี่ที่ไม่พร้อม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เมาแล้วขับ ไม่ให้ขับขี่ออกมาจากหมู่บ้าน/ชุมชน และขึ้นบนถนนสายหลักและสายรองที่มีรถสัญจรจำนวนมาก รวมไปถึง ช่วยสแกนผู้ขับขี่ที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางระยะไกล ขับรถเป็นเวลานานๆ อย่าฝืนขับ ให้จอดแวะพักคน-พักรถ เมื่อพร้อมจึงค่อยเดินทางต่อ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนนส่วนสภาพการจราจรบนถนนมิตรภาพที่จุดอื่นๆ การจราจรคล่องตัว สามารถทำความเร็วได้ตามกฎหมายกำหนด โดยรถที่สัญจรบนทางจะมากันเป็นกลุ่มก้อน มีชะลอตัวบริเวณที่เป็นทางร่วมทางแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร และบริเวณใกล้ปั๊มบริการน้ำมันเชื้อเพลิง นอกหลังจากแยกตลาดแค อ.โนนสูงแล้ว จะมีรถหนาแน่นอีกบริเวณสะพานต่างระดับจอหอ 2 จุด ซึ่งเป็นจุดเชื่อมสาย 2 ถนนมิตรภาพ เข้าสู่สาย 204 ถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา จะมีประชาชนใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองฯ จำนวนมาก เพราะไม่ต้องผ่านเข้าตัวเมืองนค
อ่านต่อ >26
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี พ.ศ. 2567 จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญแก่เกษตรกรไทย กำหนดจัดขึ้นในเดือนหก หรือ เดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งระยะนี้เป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้น การทำนาอันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย แต่ไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอนไว้เหมือนกับวันในพระราชพิธีอื่น ๆ ส่วนจะเป็นวันใดในเดือนหก หรือเดือนพฤษภาคมที่มีฤกษ์ยามที่เหมาะสมต้องตามประเพณี ก็ให้จัดขึ้นในวันนั้น ในปี พ.ศ. 2567 นี้ ได้กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เป็นวันประกอบพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบพระราชพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง สำหรับในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เป็นวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงพระยาแรกนา - เทพีทั้งหาบทองและหาบเงิน ประจำปี 2567 คือใคร? ในแต่ละปีได้มีการกำหนดว่า ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา คือ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2567 นี้ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่พระยาแรกนา และผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นเทพีทั้งหาบทองและหาบเงินนั้น จะมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกเทพีในแต่ละปี ซึ่งจะดูที่ความเหมาะสมต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่เป็นทางการ คือ พิจารณาคัดเลือกจากบรรดาข้าราชการหญิงโสดเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขึ้นไป ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้วที่ไม่เป็นทางการ คือ อายุพอสมควร สุขภาพดี ส่วนสูงพอเหมาะหรือสูงใกล้เคียงกัน สำหรับในปีนี้ เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวปนัดดา เปี่ยมมอญ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวภัทรปภา มินรินทร์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตรเทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวธิรดา วงษ์กุดเลาะ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร และนางสาววราภรณ์ วิลัยมาตย์ เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน กรมวิชาการเกษตรพระโค ‘พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ’ ประจำปี 2567 ในปีนี้ กรมปศุสัตว์ได้ทำการคัดเลือกพระโค เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2 คู่ เป็นพระโค
อ่านต่อ >16
#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ตามข้อมูลของเวรี่เวลล์ เฮลธ์ (Very Health) เว็บไซต์ด้านสุขภาพสัญชาติสหรัฐฯ ระบุว่า คนตาสีฟ้าบนโลกมี 8 - 10% ของประชากรทั้งหมดบนโลก หรือประมาณ 800 ล้านคน แต่รู้หรือไม่ว่า ตาสีฟ้าเกิดมาจากการกลายพันธุ์ และนักวิทยาศาสตร์พบว่า คนตาสีฟ้าทุกคนบนโลกสืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์ของมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นชาวยุโรปที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 6,000 - 10,000 ปีก่อนทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีข้อนี้และตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารฮิวแมน เจเนติกส์ (Human Genetics) เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2008 ศาสตราจารย์ ฮานส์ ไอเบิร์ก (Hans Eiberg) จากภาควิชาเวชศาสตร์เซลล์และโมเลกุล ผู้เขียนหลักของการศึกษานี้อธิบาย ว่ามนุษย์มียีนส์ชื่อ OCA2 ซึ่งรับผิดชอบการสร้างเม็ดสีน้ำตาลในดวงตาของมนุษย์ ดังนั้นแล้วเดิมทีมนุษย์ทุกคนมีดวงตาสีน้ำตาล แต่แล้วก็ได้เกิดการกลายพันธุ์ในยีนส์ เรียกยีนส์นี้ว่า HERC2 ซึ่งยีนส์ที่กลายพันธุ์นี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีน้ำตาลในดวงตา จนสีดวงตาจางลงและกลายเป็นสีฟ้าทีมนักวิจัยได้ศึกษา DNA ของไมโตคอนเดรีย (อวัยวะขนาดเล็กของเซลล์ ทำหน้าที่ผลิตพลังงานและมี DNA เป็นของตัวเอง) ของคนตาสีฟ้าในหลายประเทศ คือ จอร์แดน เดนมาร์ก และตุรกี ผลคือพบว่าการกลายพันธุ์ของคนตาสีฟ้าทั้งหมดนั้นมีลักษณะการกลายพันธุ์แบบเดียวกันทุกประการและการกลายพันธุ์อยู่ในตำแหน่งเดียวกันด้วย ทั้งนี้ DNA ของมนุษย์นั้นยาวมาก มีตำแหน่งที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 3 พันล้านตำแหน่ง ดังนั้นหากไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์จากบรรพบุรุษคนเดียวกัน มันจะเป็นไปได้ยากมากที่การกลายพันธุ์จะเกิดอยู่ตำแหน่งเดียวกันไม่เพียงลักษณะการกลายพันธุ์และตำแหน่งเกิดการพันธุ์ใน DNA แบบเดียวกันเท่านั้น อีกหลักฐานคือ DNA ที่อยู่รอบการกลายพันธุ์ เรียกว่า ฮาโพลไทป์ (Haplotypes) หากสืบเชื้อสายการกลายพันธุ์มาจากยีนส์ของบรรพบุรุษที่แตกต่างกัน มันต้องมีความแตกต่างกัน แต่ในการศึกษา พบว่าคนตาสีฟ้าทุกคนมี DNA ที่อยู่รอบการกลายพันธุ์แบบเดียวกันทั้งหมดดังนั้นหลักฐานเหล่านี้จึงชี้ว่าคนตาสีฟ้าทุกคนบนโลก สืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์ของมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นชาวยุโรปที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อ 6,000 - 10,000 ปีที่แล้ว อาศัยอยู่บริเวณทะเลดำของยุโรป (ทะเลที่อยู่ระหว่างทวีปยุโรป (ด้านตะวันออกเฉียงใต้) เอเชียไมเนอร์ และ
อ่านต่อ >16
#TNN เจาะข่าว #TNN ช่อง16
ทีมข่าว TNN หวังว่าบทความนี้จะช่วยสร้างการตระหนักรู้และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมต่อกลุ่มแรงงานเหล่านี้วิกฤตขยะเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อหลายๆ ประเทศทั่วโลก หนึ่งในกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้โดยตรงคือ ‘คนเก็บขยะ’ กลุ่มคนที่มักถูกมองข้ามและไม่ค่อยได้รับการยกย่องจากสังคม แต่ทว่ามีบทบาทสำคัญในการจัดการขยะ‘คนเก็บขยะ’ มีบทบาทสำคัญในการจัดการขยะ พวกเขารับผิดชอบในการเก็บขยะจากถนน บ้านเรือน และสถานประกอบการต่างๆ นำไปยังสถานที่จัดการขยะ การทำงานของพวกเขาช่วยให้สภาพแวดล้อมในชุมชนสะอาดและปลอดภัยขึ้นคนเก็บขยะมักเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในการทำงาน‘คนเก็บขยะ’ ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากและเสี่ยงต่ออันตราย พวกเขาต้องเผชิญกับขยะที่สกปรก เต็มไปด้วยเชื้อโรค และอาจมีอันตรายจากสารเคมี การสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนเก็บขยะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคทางระบบหายใจ โรคผิวหนัง และโรคมะเร็ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพวกเขานอกจากนี้ ‘คนเก็บขยะ’ มักได้รับค่าจ้างที่ต่ำ ไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ และต้องทำงานหนัก ทำให้พวกเขามีความยากลำบากในการจัดการชีวิตประจำวัน ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เนื่องจากสังคมมักมองว่าคนเก็บขยะเป็นคนชั้นต่ำและไร้ค่ากวาดถนน-เก็บขยะ "งานหนัก" เงินน้อย "เสี่ยงตาย" บนท้องถนนบทความนี้ขอมุ่งเน้นไปที่ ชีวิตบนความเสี่ยง ของ ‘คนเก็บขยะ-คนกวาดถนน’ ซึ่งเป็น โซ่ข้อสุดท้าย ที่เชื่อมต่อกับประชาชน พวกเขาทำงานหนักเพื่อรักษาความสะอาดของเมืองหลวง แต่ได้รับ เงินเดือนน้อย และ ขาดสวัสดิการ ที่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเผชิญกับ ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ อยู่เสมอชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยกล่าวถึงความสำคัญของการดูแลลูกจ้างที่เป็นผู้น้อย เงินเดือนน้อย ซึ่งเป็นโซ่ข้อสุดท้ายที่เชื่อมเราเข้ากับประชาชน หากพวกเขาไม่มีกำลังใจไปทำงานให้ประชาชน นโยบายดีก็ไม่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครมีลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวทั้งสิ้น 28,122 ราย โดยเป็นลูกจ้างประจำ 17,901 ราย แบ่งเป็นด้านเก็บขนมูลฝอย 7,489 ราย กวาด 6,029 ราย สวนสาธารณะ 3,492 ราย และสิ่งปฏิกูล 891 ราย และล
อ่านต่อ >19
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (17 เมษายน 2567) มีประชาชนจากจังหวัดทางภาคอีสานจำนวนไม่น้อยที่เลือกเดินทางกลับไปทำงานในวันนี้ หลังจากหยุดยาวฉลองสงกรานต์มาต่อเนื่องหลายวัน ทำให้บรรยากาศการเดินทางบนถนนมิตรภาพ ขาล่องเข้ากรุงเทพมหานคร หรือไปยังจังหวัดทางภาคตะวันออก ยังมีรถค่อนข้างหนาแน่นเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะถนนมิตรภาพ ช่วงผ่านแยกสัญญาณไฟจราจร ตลาดแค อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแยกที่มีรถจากจังหวัดทางภาคอีสานหลายจังหวัดจะต้องสัญจรผ่านที่จุดนี้ก่อนจะเข้าเขต อ.เมืองนครราชสีมา นอกจากนี้ ยังมีรถที่สัญจรบนเส้นทางสายรองต่างๆ ใน อ.พิมาย อาทิ ถนนสายพิมาย-ชุมพวง , ถนนสายพิมาย-ห้วยแถลง และถนนสายพิมาย-จักราช สัญจรมาแยกคลาดแคนี้ด้วย จึงทำให้ปริมาณรถบนถนนมิตรภาพที่บริเวณดังกล่าวเพิ่มจำนวนมากขึ้น เคลื่อนตัวช้า มีรถสัญจรเต็มทุกช่องทางอีกทั้งสัญญาณไฟจราจรไม่สอดคล้องกับสภาพการจราจรในจุดนั้น เนื่องจากปริมาณรถบนทางมากเกิน รถชะลอตัว สลับกับหยุดนิ่ง เมื่อเปลี่ยนเป็นไฟเขียว รถจึงไม่สามารถผ่านไปได้ ผู้ขับขี่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยหลังจากผ่านแยกตลาดแคไปได้แล้ว รถสามารถเคลื่อนตัวได้ดี ทำความเร็วได้ประมาณ 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นายศิวะเสก สินโทรัมย์ นายอำเภอพิมาย พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอพิมาย ได้ลงพื้นที่ตรวจตราจุดบริการประชาชนแต่ละจุดในพื้นที่ดูแล เพราะจุดบริการย่อยเหล่านี้ เสมือนเป็น “ด่านชุมชน” ที่จะช่วยสอดส่องและสกัดผู้ขับขี่ที่ไม่พร้อม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เมาแล้วขับ ไม่ให้ขับขี่ออกมาจากหมู่บ้าน/ชุมชน และขึ้นบนถนนสายหลักและสายรองที่มีรถสัญจรจำนวนมาก รวมไปถึง ช่วยสแกนผู้ขับขี่ที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางระยะไกล ขับรถเป็นเวลานานๆ อย่าฝืนขับ ให้จอดแวะพักคน-พักรถ เมื่อพร้อมจึงค่อยเดินทางต่อ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนถนนส่วนสภาพการจราจรบนถนนมิตรภาพที่จุดอื่นๆ การจราจรคล่องตัว สามารถทำความเร็วได้ตามกฎหมายกำหนด โดยรถที่สัญจรบนทางจะมากันเป็นกลุ่มก้อน มีชะลอตัวบริเวณที่เป็นทางร่วมทางแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร และบริเวณใกล้ปั๊มบริการน้ำมันเชื้อเพลิง นอกหลังจากแยกตลาดแค อ.โนนสูงแล้ว จะมีรถหนาแน่นอีกบริเวณสะพานต่างระดับจอหอ 2 จุด ซึ่งเป็นจุดเชื่อมสาย 2 ถนนมิตรภาพ เข้าสู่สาย 204 ถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา จะมีประชาชนใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองฯ จำนวนมาก เพราะไม่ต้องผ่านเข้าตัวเมืองนค
อ่านต่อ >26
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี พ.ศ. 2567 จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญแก่เกษตรกรไทย กำหนดจัดขึ้นในเดือนหก หรือ เดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งระยะนี้เป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้น การทำนาอันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย แต่ไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอนไว้เหมือนกับวันในพระราชพิธีอื่น ๆ ส่วนจะเป็นวันใดในเดือนหก หรือเดือนพฤษภาคมที่มีฤกษ์ยามที่เหมาะสมต้องตามประเพณี ก็ให้จัดขึ้นในวันนั้น ในปี พ.ศ. 2567 นี้ ได้กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เป็นวันประกอบพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบพระราชพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง สำหรับในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เป็นวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงพระยาแรกนา - เทพีทั้งหาบทองและหาบเงิน ประจำปี 2567 คือใคร? ในแต่ละปีได้มีการกำหนดว่า ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา คือ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2567 นี้ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่พระยาแรกนา และผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นเทพีทั้งหาบทองและหาบเงินนั้น จะมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกเทพีในแต่ละปี ซึ่งจะดูที่ความเหมาะสมต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่เป็นทางการ คือ พิจารณาคัดเลือกจากบรรดาข้าราชการหญิงโสดเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขึ้นไป ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้วที่ไม่เป็นทางการ คือ อายุพอสมควร สุขภาพดี ส่วนสูงพอเหมาะหรือสูงใกล้เคียงกัน สำหรับในปีนี้ เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวปนัดดา เปี่ยมมอญ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวภัทรปภา มินรินทร์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตรเทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวธิรดา วงษ์กุดเลาะ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร และนางสาววราภรณ์ วิลัยมาตย์ เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน กรมวิชาการเกษตรพระโค ‘พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ’ ประจำปี 2567 ในปีนี้ กรมปศุสัตว์ได้ทำการคัดเลือกพระโค เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2 คู่ เป็นพระโค
อ่านต่อ >16
#ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี #TNN ช่อง16
ตามข้อมูลของเวรี่เวลล์ เฮลธ์ (Very Health) เว็บไซต์ด้านสุขภาพสัญชาติสหรัฐฯ ระบุว่า คนตาสีฟ้าบนโลกมี 8 - 10% ของประชากรทั้งหมดบนโลก หรือประมาณ 800 ล้านคน แต่รู้หรือไม่ว่า ตาสีฟ้าเกิดมาจากการกลายพันธุ์ และนักวิทยาศาสตร์พบว่า คนตาสีฟ้าทุกคนบนโลกสืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์ของมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นชาวยุโรปที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 6,000 - 10,000 ปีก่อนทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็นผู้ค้นพบทฤษฎีข้อนี้และตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารฮิวแมน เจเนติกส์ (Human Genetics) เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2008 ศาสตราจารย์ ฮานส์ ไอเบิร์ก (Hans Eiberg) จากภาควิชาเวชศาสตร์เซลล์และโมเลกุล ผู้เขียนหลักของการศึกษานี้อธิบาย ว่ามนุษย์มียีนส์ชื่อ OCA2 ซึ่งรับผิดชอบการสร้างเม็ดสีน้ำตาลในดวงตาของมนุษย์ ดังนั้นแล้วเดิมทีมนุษย์ทุกคนมีดวงตาสีน้ำตาล แต่แล้วก็ได้เกิดการกลายพันธุ์ในยีนส์ เรียกยีนส์นี้ว่า HERC2 ซึ่งยีนส์ที่กลายพันธุ์นี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีน้ำตาลในดวงตา จนสีดวงตาจางลงและกลายเป็นสีฟ้าทีมนักวิจัยได้ศึกษา DNA ของไมโตคอนเดรีย (อวัยวะขนาดเล็กของเซลล์ ทำหน้าที่ผลิตพลังงานและมี DNA เป็นของตัวเอง) ของคนตาสีฟ้าในหลายประเทศ คือ จอร์แดน เดนมาร์ก และตุรกี ผลคือพบว่าการกลายพันธุ์ของคนตาสีฟ้าทั้งหมดนั้นมีลักษณะการกลายพันธุ์แบบเดียวกันทุกประการและการกลายพันธุ์อยู่ในตำแหน่งเดียวกันด้วย ทั้งนี้ DNA ของมนุษย์นั้นยาวมาก มีตำแหน่งที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 3 พันล้านตำแหน่ง ดังนั้นหากไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์จากบรรพบุรุษคนเดียวกัน มันจะเป็นไปได้ยากมากที่การกลายพันธุ์จะเกิดอยู่ตำแหน่งเดียวกันไม่เพียงลักษณะการกลายพันธุ์และตำแหน่งเกิดการพันธุ์ใน DNA แบบเดียวกันเท่านั้น อีกหลักฐานคือ DNA ที่อยู่รอบการกลายพันธุ์ เรียกว่า ฮาโพลไทป์ (Haplotypes) หากสืบเชื้อสายการกลายพันธุ์มาจากยีนส์ของบรรพบุรุษที่แตกต่างกัน มันต้องมีความแตกต่างกัน แต่ในการศึกษา พบว่าคนตาสีฟ้าทุกคนมี DNA ที่อยู่รอบการกลายพันธุ์แบบเดียวกันทั้งหมดดังนั้นหลักฐานเหล่านี้จึงชี้ว่าคนตาสีฟ้าทุกคนบนโลก สืบเชื้อสายมาจากยีนส์กลายพันธุ์ของมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นชาวยุโรปที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อ 6,000 - 10,000 ปีที่แล้ว อาศัยอยู่บริเวณทะเลดำของยุโรป (ทะเลที่อยู่ระหว่างทวีปยุโรป (ด้านตะวันออกเฉียงใต้) เอเชียไมเนอร์ และ
อ่านต่อ >16